12 มกราคม 2018

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การพัฒนาเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่มนุษย์อย่างเรานั้น มาพร้อมกันกับผลกระทบด้านลบที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ดังเช่นปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มมากขึ้น มนุษย์จึงต้องแสวงหาความสมดุลในการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน

ลองดูกันว่านักข่าวนิวยอร์กไทม์ใช้เทคโนโลยีในงานและในชีวิตส่วนตัวของพวกเขากันอย่างไร?

Hiroko Tabuchi นักหนังสือพิมพ์สภาพภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมของ The Times กล่าวถึงเทคโนโลยีที่เธอใช้อยู่ดังนี้

เครื่องมือไฮเทคที่สำคัญที่สุดของคุณที่ใช้สำหรับการทำงานมีอะไรบ้าง ?

ด้วยความตระหนักถึงคาร์บอนฟุตพรินท์ (Carbon footprint) ที่เกิดขึ้นและที่อยู่ในสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวที่ได้กลายเป็นข้อบังคับพื้นฐานที่ครอบคลุมทุกย่างก้าวของการทำงานของฉัน และรวมถึงการที่มีแอปพลิเคชันที่ดีหลายอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับคาร์บอนฟุตพรินท์ เช่น

แอปพลิเคชัน CO2 ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (The International Civil Aviation Organization) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นที่ให้ค่าประมาณสำหรับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการบิน ตัวอย่างเช่น ฉันกำลังบินไปที่แอริโซนาเพื่อทำรายงาน แอพพลิเคชันบอกว่าเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ขนาดเล็กจากนิวยอร์กไปยังฟีนิกซ์และกลับเผาผลาญเชื้อเพลิงเชื้อเพลิงจำนวน 13,150 กิโลกรัมซึ่งมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยต่อผู้โดยสารประมาณ 500 กิโลกรัมซึ่งมากกว่ารถยนต์ที่ปล่อยออกมาโดยเฉลี่ยภายในหนึ่งเดือน

และก็ยังมีแอปพลิเคชันที่เรียกว่า Haze Today ซึ่งติดตามดัชนีคุณภาพอากาศในแบบเรียลไทม์ ซึ่งก็เป็นแอปพลิเคชันที่ใช้บอกค่าปริมาณของ

  • โอโซนในระดับพื้นดิน (ground-level ozone)
  • อนุภาคของมลพิษ (particle pollution)
  • คาร์บอนมอนอกไซด์ (carbon monoxide)
  • ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (sulfur dioxide) และ
  • ไนโตรเจนไดออกไซด์ (nitrogen dioxide)

ค่าทั้งหมดเหล่านี้เป็นค่าที่ใช้แสดงถึงคุณภาพของอากาศที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณ   ดัชนีการให้คะแนน (Index Rate) ในช่วงฤดูหนาวในนิวยอร์กเป็น “สุขภาพ (Healthy)” แต่ในช่วงฤดูร้อนคุณจะเห็นว่าค่าดัชนีจะปรับเข้าช่วง “ปานกลาง (Moderate)” และช่วง “ไม่ดีต่อสุขภาพ (Unhealthy)”   ซึ่งทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนจากแอปพลิเคชั่นว่ามลพิษทางอากาศในแคลิฟอร์เนียนั้นเลวร้ายลงขึ้นทุกวัน   เห็นได้จากในช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ฉันได้เขียนถึงสาเหตุว่าทำไมถึงทำให้แคลิฟอร์เนียเป็นผู้นำด้านนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม  เพราะว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรัฐนี้

อีกทั้งแอปพลิเคชัน Haze Today ยังใช้ครอบคลุมได้ทั่วโลกและตัวแอปพลิเคชั่นยังสามารถใช้ในการติดตามระดับมลพิษทางอากาศในประเทศต่างๆ เช่น จีนและอินเดีย ที่ซึ่งเป็นประเทศที่การผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหินเป็นที่แพร่หลายและดัชนีคุณภาพอากาศ (Air quality index) จะติดอยู่ในช่วง “ไม่ดีต่อสุขภาพ (Unhealthy)” หรือ “ไม่ดีต่อสุขภาพมาก (Very unhealthy)” ตลอด

สำหรับ Gadget ที่ฉันได้ใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ในฟุกุชิมาในปี 2011 คือ mini-Geiger counter ซึ่งเป็นเคาน์เตอร์ที่ใช้สำหรับการวัดการแผ่รังสีซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของชุดเครื่องมือของผู้สื่อข่าว (และฉันรู้สึกขอบคุณที่ไม่ต้องใช้มันที่นี่)   ซึ่งน่าแปลกใจว่าวิกฤติได้กระตุ้นเทคโนโลยี Counter Geiger ได้อย่างไร   ทั้ง ๆ ที่ในช่วงต้น ๆ ที่เกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุที่โรงงานฟุกุชิมะนั้นเราได้จ่ายเงินหลายร้อยเหรียญเพื่อซื้อเคาน์เตอร์ที่รัสเซียทำ  แต่ตอนนี้บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นได้ทำเคาน์เตอร์ราคาถูกที่มีลักษณะเหมือนเครื่องวัดอุณหภูมิออกมา

บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ   คุณคิดว่าบริษัทเหล่านั้นกำลังทำอะไรอยู่บ้าง  และอะไรเป็นข้อบังคับสำหรับพวกเราที่เหลือที่ต้องปฏิบัติ?

คาร์บอนฟุตพรินท์ (Carbon footprint) ที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของบริษัทเทคโนโลยีมาจากศูนย์กลางที่มีขนาดใหญ่มหึมาที่ใช้จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่ให้กำลัง (หรือเป็นแหล่งพลังงาน) ในการดำเนินงานของบริษัท-และจากการวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีบางแห่งอาจมีการประเมินปริมาณของพลังงานที่ใช้ต่ำกว่าความเป็นจริง   และศูนย์ข้อมูล (Data centers) ยังใช้น้ำจำนวนมากในระบายความร้อนด้วยคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานหนัก ฉันคิดว่ามีความคืบหน้าเป็นอย่างมากที่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีได้ระบุถึงประเด็นเหล่านี้และบริษัทส่วนใหญ่ก็มีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันการใช้พลังงานจากพลังงานทดแทน (Renewable energy) มากขึ้น

และแน่นอนคุณยังสามารถลดปริมาณการปล่อยเรือนกระจกด้วยตัวของคุณเองด้วยขั้นตอนง่ายๆ เช่น การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เมื่อไม่ใช้งานในแต่ละวัน เป็นต้น  ซึ่งฉันเองยังรู้สึกประหลาดใจกับจำนวนจอคอมพิวเตอร์และทีวีที่เปิดอยู่ในตึกไทม์ของเราเองในเวลากลางคืนและตลอดในช่วงสุดสัปดาห์เช่นกัน

อะไรคือผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่คุณหลงใหลกับการใช้ในชีวิตประจำวันของคุณ ?

ฉันเป็นคนที่ใช้บริการรถโดยสารขนส่งสาธารณะและใช้แอปพลิเคชันที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก สิ่งที่ฉันชอบมากคือ แอปพลิเคชั่น Exit Strategy  ซึ่งจะช่วยบอกคุณว่า รถไฟใต้ดิน (Subway car) ใดที่คุณต้องการใช้เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะลงตรงทางออกที่คุณต้องการ   คุณจะรู้สึกประหลาดใจที่มันสามารถช่วยคุณลดเวลาและความเครียดได้มากแค่ไหน

นอกจากนี้ฉันยังใช้รถเมล์ในบริเวณที่อาศัยอยู่ใน Brooklyn  ดังนั้นฉันจึงใช้แอปพลิเคชั่น M.T.A. Bus ซึ่งให้ข้อมูลที่มีความถูกต้องมากกว่าบริการต่างๆ เช่น Google Maps

อีกทั้งฉันยังชื่นชอบพอดคาสต์ (Podcasts) ด้วย  พอดคาสต์ที่ดีเช่น like Michael Barbaro’s The Daily หรือ S-Town podcast จาก “This American Life”  จะทำให้คุณสามารถปรับแต่งทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย

อะไรเป็นสิ่งที่น่าจะทำให้ดีขึ้นเกี่ยวกับแอปพลิเคชันการเดินทางที่คุณชื่นชอบ ?

Google Maps เป็นอะไรที่สร้างความปวดหัวให้กับฉันอย่างมาก  มันไม่ได้รวบรวมข้อมูลของ New York City Transit ให้ดีพอ  ดังนั้น Google Maps อาจแนะนำเส้นทางบนรถไฟที่ปิดการบำรุงรักษา  ยกตัวอย่างถ้า Google Maps จะทำให้ดีกว่านี้ในการปักธงแจ้งเตือนแม้ว่าจะมีการบำรุงรักษาตามกำหนดเวลา รถไฟใต้ดินและรถประจำทางในที่นี่จะใช้ได้ง่ายกว่ามากในการสืบค้นเส้นทาง

ฉันทวีตเรื่องความเลวร้ายในการขนส่งเป็นจำนวนมาก แต่เป็นเพราะฉันเชื่อในความสำคัญของการขนส่งสาธารณะ  เพราะว่ามันตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยความชีวิตชีวา

มีอะไรบ้างที่จะกระตุกให้คนสามารถใช้ชีวิตอยู่กับเทคโนโลยีได้อย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น?

มีแอปพลิเคชั่นและบริการหลายอย่างที่จะช่วยให้คุณมีทั้งความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและปกป้องสุขภาพของคุณ   GoodGuide ช่วยให้คุณสามารถสแกนผลิตภัณฑ์ในสโตร์เพื่อค้นหาส่วนผสมและดูการให้อันดับคะแนนโดยรวมของผลิตภัณฑ์โดยพิจารณาจากผลกระทบต่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม   และแอปพลิเคชั่น เช่น Oroeco ยังช่วยให้คุณสามารถติดตามการปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจกของคุณในแต่ละวันและเปลี่ยนเป็นเกมที่ให้คำแนะนำในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ดีขึ้น

และอีกทางหนึ่งที่ควรพิจารณาจากมุมมองด้านสิ่งแวดล้อมก็คือ อีคอมเมิร์ซ (e-commerce) ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ส่วนใหญ่อาจสงสัยว่าผลกระทบจากการจัดส่งทั้งหมดและรวมถึงกระดาษแข็ง (cardboard) ที่ถูกใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดนั้นมีปริมาณเท่าไร (เพื่อนร่วมงานของฉัน Matt Richtel ทำได้อย่างยอดเยี่ยมในเรื่องนี้เมื่อปีที่แล้ว)

ฉันเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าฉันอาจไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากอีคอมเมิร์ซ (e-commerce)  แต่มีเรื่องง่ายๆ ที่จะสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของคุณได้ ตัวอย่างเช่น คุณต้องการหูฟังใหม่และ external batteries  สำหรับใช้ตลอดทั้งคืนหรือไม่?  การเลือกการจัดส่งแบบเร่งด่วนสามารถเพิ่มปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอีคอมเมิร์ซได้เนื่องจากในหลายการจัดส่งควรจะต้องส่งหลายแพคเกจจากสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ตรงกับคำสั่งซื้อที่เร่งด่วน แต่จากมุมมองของการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้วนั้น  การขับรถไปและกลับจากร้านค้าอาจส่งผลกระทบที่เลวร้ายยิ่งกว่า   เพราะการขับรถมักจะมีการปล่อยมลพิษที่มีปริมาณเข้มข้นมากกว่าการขนส่งแบบอื่น ๆ   บริการจัดส่งสินค้าในอีกด้านหนึ่งถ้ามีการขนส่งในจำนวนมากและใช้เส้นทางการขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและการปลดปล่อยมลพิษลดลงได้เช่นกัน YouTube ยังคงโฆษณารถหรูในวันขอบคุณพระเจ้าที่ผู้ชายคนนี้กระโดดลงไปในรถของเขาเพื่อรับซอสแครนเบอร์รี่ ฉันอยากจะตะโกนใส่แล็ปท็อปของฉันว่า “นั่นเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณสามารถทำให้กับโลกนี้!”

ที่มา : https://www.nytimes.com/2017/12/20/technology/personaltech/technology-environment-apps.html?rref=collection%2Fsectioncollection%2Fclimate&action=click&contentCollection=climate&region=stream&module=stream_unit&version=latest&contentPlacement=4&pgtype=sectionfront เขียนโดย HIROKO TABUCHI DEC. 20, 2017




Writer

โดย น้ำเพชร พรหมณา

• วิทยากรที่ปรึกษา ส่วนการจัดการระบบคุณภาพ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
• มีประสบการณ์การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม และการให้คำปรึกษาแนะนำด้านระบบคุณภาพให้กับหน่วยงานต่าง ๆ