24 มีนาคม 2016

china

จากเดิมความสำเร็จที่เคยทำได้เพียงลำพัง ในปัจจุบันอาจใช้วิธีเดิมไม่ได้แล้วเพราะบริบทบนโลกได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ดังนั้นหากจะให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีศักยภาพ คงหนีไม่พ้นการสร้างเครือข่ายที่มีจุดหมายเดียวกันเพื่อหาแนวทางร่วมกันที่จะไปให้ถึงความสำเร็จที่ได้ตั้งไว้ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศมหาอำนาจอย่าง “สาธารณรัฐประชาชนจีน

ในช่วงทศวรรษที่ 50 จีนมีจุดหมายที่แน่วแน่ประการหนึ่งคือ การมีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมแซงหน้า สหราชอาณาจักร แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จนปัจจุบันจีนสามารถแซงหน้าสหราชอาณาจักรได้ในแง่ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจแม้ว่าคุณภาพความเป็นอยู่ของชาวจีนจะยังตามหลังชาวอังกฤษอยู่ ตามติดด้วยเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้เดินทางเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการและได้รับการต้อนรับจากราชวงศ์และรัฐบาลอังกฤษอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นยุคทองแห่งความสัมพันธ์จีน-อังกฤษในกว่าหลายทศวรรษ

“ภารกิจสำคัญของผู้นำจีนรวมถึงการหารือระดับทวิภาคีอย่างเป็นทางการแบบเต็มคณะกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ หนึ่งในประเด็นสำคัญเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลก ที่จีนตีตลาดด้วยการเสนอราคาขายที่ถูกกว่าปกติ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กในอังกฤษที่บริษัทขนาดใหญ่ปิดตัวไปหลายแห่ง และการบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายสำหรับการให้จีนร่วมลงทุนในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่ของอังกฤษ” [1]

ในระหว่างการเยือน จีนและอังกฤษได้ลงนามข้อตกลงมูลค่ากว่า 40 พันล้านปอนด์ ทำให้อังกฤษมีสถานะเป็นศูนย์กลางการค้าเงินหยวนนอกแผ่นดินใหญ่นอกเหนือจากฮ่องกง และมีการพิจารณาผ่อนผันหลักเกณฑ์การขอวีซ่าเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนที่มีกำลังซื้อสูงโดยเริ่มตั้งแต่ปี 2016 ด้วย ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ (Comprehensive Strategic Partnership) ระหว่างจีนและ สหราชอาณาจักรอย่างรอบด้าน

การสวมกอดกันอย่างเปิดเผยระหว่างจีนและสหราชอาณาจักรแสดงให้เห็นว่า ชาติตะวันตกที่เคยจับมือกันเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพื่อตอบโต้จีนนั้นสลายไป ในมิติทางเศรษฐกิจนั้น ชาติตะวันตกทั้งหลายไม่ได้มีท่าทีที่จะท้าทายจีนแล้ว เชื่อมโยงกับมิติทางการทหาร ที่แม้ว่าชาติตะวันตกจะมีองค์การนาโต้เป็นแกนกลางสำคัญ แต่ข้างในลึกๆ ก็ยังไม่ได้รวมกันอย่างเหนียวแน่นพอที่จะไปกดดันจีน แรงกดดันทางการทหารต่อจีนส่วนใหญ่มาจากการจับมือกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งพยายามเกลี่ยกล่อมประเทศเล็กๆ รอบๆ จีนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและการป้องปรามทางการทหารของตนกับจีน แต่จีนมีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจเป็นแรงหนุนสำคัญให้กับอำนาจทางการทหารและเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันความมั่นคงของประเทศ

สหราชอาณาจักรเองก็ดูมีทีท่าจะวางตัวออกห่างจากกลุ่มชาติตะวันตกที่มีความพยายามจะคุกคามจีนและแสดงตัวเป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกาอย่างเห็นได้ชัด การตัดสินใจเริ่มต้นยุคทองแห่งความสัมพันธ์จีน-อังกฤษในการเยือนอังกฤษของจีนจึงมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง

หากมองในเชิงคตินิยมตั้งแต่เก่าก่อน ซึ่งมีการแบ่งแยกระหว่างจีนและตะวันตกอย่างชัดเจน ประเทศตะวันตกอย่างสหราชอาณาจักร เยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งเคยมีความพยายามที่จะเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับจีน ก็ยังไม่พ้นที่จะจับกลุ่มกันเองอย่างเหนียวแน่น

แต่ในปัจจุบันกลุ่มประเทศตะวันตกมีค่านิยมร่วมกันที่เป็นสายเชื่อมโยงความสัมพันธ์มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่แน่นอนว่ามันไม่มีผลกับทุกอย่าง เมื่อหันมามองในบริบทระหว่างจีนและชาติตะวันตกเรื่องค่านิยมร่วมกลับเป็นประเด็นที่แตกต่างกันมากที่สุด ซึ่งทั้งสองฝ่ายเองจำต้องมีความเคารพและยอมรับในความแตกต่างซึ่งกันและกัน

ภายหลังการเยือนอังกฤษของจีน ผู้นำในกลุ่มอียูอย่างเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส ต่างทยอยตบเท้าเยือนจีนตั้งแต่เมื่อต้นสัปดาห์ (สัปดาห์สุดท้ายของ ต.ค.) ซึ่งสอดคล้องกับนักวิจารณ์การเมืองที่ให้ความเห็นว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญต่อการสานสายสัมพันธ์จีน-ตะวันตก จนมีการตั้งชื่อบทความ ‘เยอรมนีและฝรั่งเศสเป็นหุ้นส่วนสำคัญของจีนในยุโรป’ และการที่นายกรัฐมนตรีเยอรมันประกาศตัวว่า ‘knows China best’ พร้อมตั้งเป้าให้เยอรมนีกลายเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของจีนในยุโรป ขณะที่ประธานาธิบดีชูประเด็นการเจรจาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับจีนบนด้วยฝรั่งเศสจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP21) ในปลายเดือน พ.ย. ฯลฯ จีนจึงดูมีอิทธิพลกับประเด็นในการสานสัมพันธ์ทางการทูตและความต้องการทางเศรษฐกิจของกลุ่มสมาชิกอียูไม่น้อย [2]

สหราชอาณาจักรจึงสะท้อนให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและส่งสารเป็นนัยๆ ว่าถึงเวลาที่โลกได้ล้มเลิกความคิดที่จะต่อต้านจีนแม้จะต้องอาศัยเวลานานกว่าที่ปัญหาต่างๆ ระหว่างจีนและชาติตะวันตกจะคลี่คลาย โลกควรจะมีความหวังและมุ่งสู่ความสำเร็จในอนาคตร่วมกันมากกว่าที่จะเผชิญปัญหาด้วยความยากลำบากและไม่แน่นอนอีกต่อไป

 

ที่มา :

[1] “ประธานาธิบดีจีนเยือนอังกฤษอย่างเป็นทางการ,เดลินิวส์, 20 ตุลาคม 2558, <http://www.dailynews.co.th/foreign/355503>.

[2] “Busy week of diplomacy sees EU leaders lining up for China trip,” Chinadaily.com.cn, 30 October 2015, <http://en.people.cn/n/2015/1030/c90000-8968931.html>




Writer

โดย อวยพร สุธาทองไทย

เจ้าหน้าที่วิเทศสัมพันธ์อาวุโส ส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศ
ฝ่ายกลยุทธ์และการตลาด สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ